วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

เนื้อหาประกอบการเรียน

การจัดระเบียบทางสังคม (social organization)

ความหมาย
พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้กล่าวถึง
ความหมายของการจัดระเบียบสังคมดังนี้ การจัดระเบียบสังคม หมายถึง การจัดหน่วยหรือกลุ่ม
ของสังคมเป็นส่วนย่อยอย่างมีระบบโดยคำนึงถึงเรื่องเพศ อายุ เครือญาติ อาชีพ ทรัพย์สิน เอก
สิทธิ์ อำนาจ สถานภาพ ฯลฯ แต่ละส่วนย่อยย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยมีแบบอยา่ง
กฎหมาย ระเบียบ รวมทั้งประเพณีเป็นแนวดำเนินหรือปฏิบัติ สังคมต่าง ๆ เมื่อมองในแง่สังคม
วิทยาสามารถตีความได้ว่า สังคมก็คือระบบองค์การที่ซับซ้อนนั่นเอง


มาร์วิน อี. ออลเซน (Marvin E. Olsen) กล่าวว่า การจัดระเบียบสังคมเป็นกระบวนการ
ที่นำไปสู่ความมีระเบียบในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม
สรุปได้ว่า การจัดระเบียบสังคมเป็นกระบวนการที่สมาชิกได้พัฒนาการกระทำระหว่างกัน
ทางสังคมอย่างมีระเบียบ โดยสมาชิกส่วนรวมของสังคมได้ยอมรับเป็นแนวความประพฤติร่วมกัน
และปฏิบัติสืบทอดจนเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิตร่วมกันของสมาชิกในสังคม

สาเหตุที่จะต้องมีการจัดระเบียบทางสังคม

1. เพื่อให้การติดต่อสัมพันธ์กันทางสังคมเป็นไปอย่างเรียบร้อย
2. ขจัดข้อขัดแย้งและป้องกันความขัดแย้งในสังคม
3. ช่วยให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุข เป็นปึกแผ่น

การจัดระเบียบสังคมครอบคลุมสิ่ง 2 ประการคือ

1. กลุ่มคนที่เป็นระเบียบ หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมต่อกัน มีรูปแบบ

ในการปฏิบัติ มีเป้าหมายหรือหน้าที่ที่กำหนด และมีการควบคุมทางสังคม
2. กระบวนการจัดระเบียบทางสังคม ประกอบด้วย บรรทัดฐานทางสังคม สถานภาพ
บทบาท และการควบคุมทางสังคม


องค์ประกอบของการจัดระเบียบสังคม

1. บรรทัดฐานทางสังคมหรือปทัสถาน (Norms) หมายถึง มาตรฐานที่คนส่วนใหญ่ใน
กลุ่มยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ได้แก่ กฎ ระเบียบ แบบแผนความประพฤติต่าง ๆประเภทของบรรทัด
ฐานทางสังคม แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. วิถีประชา หรือ วิถีชาวบ้าน (Folkways)
2. กฎศีลธรรม หรือ จารีต (Morals)
3. กฎหมาย (Laws)

1. วิถีประชา หรือ วิถีชาวบ้าน (Folkways) หมายถึง แนวทางการปฏิบัติของบุคคล
ในสังคมซึ่งปฏิบัติตามความเคยชิน และเป็นที่ยอมรับในสังคม เช่น การลุกให้คนชรานั่งในรถ
ประจำทาง วิถีประชา ยังหมายถึง มารยาททางสังคม งานพิธีต่าง ๆ ตามสมัยนิยม เช่น การแต่ง
กาย การรับประทานอาหาร การอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เป็นต้น ผู้ที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามแนวทาง
ดังกล่าวจะได้รับการติเตียน เยาะเย้ยถากถาง หรือการนินทาจากผู้อื่นทำให้สมาชิกต้องปฏิบัติตาม

2. กฎศีลธรรม หรือ จารีต (Morals) หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่สมาชิกในสังคม
ปฏิบัติโดยเคร่งครัดมีความสำคัญมากกว่าวิถีประชา หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกสังคมประณามอย่าง
รุนแรง กฎศีลธรรมมักเป็นข้อห้าม เป็นกฎข้อบังคับ และมีเรื่องของศีลธรรมความรับผิดชอบชั่วดี
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก
ตัวอย่างของกฎศีลธรรมหรือจารีตของไทย เช่น

- ห้ามพ่อแต่งงานกับลูกสาว
- ลูกจะทุบตีพ่อแม่ไม่ได้


3. กฎหมาย (Laws) หมายถึง กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่รัฐบัญญัติขึ้นเป็นลายลักษณ์
อักษรโดยองค์การทางการเมืองการปกครองและได้รับการรับรองจากองค์การของรัฐ เพื่อควบคุม
บุคคลในสังคมหากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมได้รับการลงโทษตามกฎหมายได้แก่ ระเบียบ ข้อบังคับ พระ
ราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา และพระราชบัญญัติ เป็นต้น กฎหมายที่ดีต้องทันต่อเหตุการณ์
หรือเป็นกฎหมายที่คาดการณ์ข้างหน้าได้


ความสำคัญของบรรทัดฐานต่อการจัดระเบียบทางสังคม คือ
1. เป็นแนวทางพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทุกคนมีความเข้าใจร่วมกัน ทำให้มีการประพฤติ
ปฏิบัติในแนวเดียวกัน
2. มีไว้ควบคุมสมาชิกในสังคมให้อยู่ในกรอบของสังคม ไม่เป็นอันตรายต่อสังคม
เพราะมนุษย์นั้นสามารถทำทั้งสิ่งที่ดีงามและชั่วร้าย


2. สถานภาพ (Status) เป็นตำแหน่งหรือฐานะที่ได้จากการเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคม สถานภาพ
จะกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่มีต่อผู้อื่น เพื่อให้การติดต่อสัมพันธ์กันทางสังคมมีระเบียบ
แบบแผนและบุคคลเดียวอาจมีหลายสถานภาพได้
สถานภาพมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. เป็นสิ่งเฉพาะบุคคล ทำให้บุคคลนั้นแตกต่างไปจากผู้อื่น เช่น สุชาติเป็นครู นารีเป็น
นักเรียน สมภพเป็นแพทย์ เป็นต้น
2. บุคคลหนึ่งอาจมีหลายสถานภาพ เช่น สุชาติมีสถานภาพเป็นครู เป็นพ่อและเป็น
ข้าราชการเป็นต้น
3.เป็นสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดที่บุคคลมีอยู่ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่นและสังคม
ส่วนรวม

4. เป็นตัวกำหนดว่าบุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างไรในสังคม ทำให้ต่าง
คนต่างรู้สิทธิและหน้าที่ของตน


ประเภทของสถานภาพ ในทางสังคมศาสตร์จำแนกสถานภาพออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สถานภาพที่ติดตัวมาโดยสังคมเป็นผู้กำหนด ได้แก่ สถานภาพทางญาติกัน ทางเพศ
อายุ ทางเชื้อชาติ และถิ่นกำเนิด เช่น เด็กชาย เด็กหญิง วงศ์ตระกูล ลูกหลาน น้องสาว ฯลฯ
2. สถานภาพที่ได้มาโดยความสามารถ หรือเพิ่มเติมจากสถานภาพเดิม ได้แก่ สถานภาพ
จากการศึกษา การประกอบอาชีพ จากบิดามารดา หรือจากการสมรส เช่น เป็นพี่ นักเรียน
นักกีฬา นักร้อง ทหาร ครู นักธุรกิจ นายกรัฐมนตรี ฯลฯ
3. บทบาท (Roles) หมายถึง การปฏิบัติตามหน้าที่และสิทธิของตนตามสถานภาพใน
สังคม เช่น สถานภาพเป็นนักเรียนก็จะต้องมีบทบาทเรียนหนังสือ ขยันหมั่นเพียร เป็นคนดี เชื่อ
ฟังคำสั่งสอนของครู เป็นต้น

บทบาทขัดกัน (Roles Conflicts) หมายถึง การที่คนคนหนึ่งมีบทบาทหลายอย่างในเวลา
เดียวกันและขัดกันเอง ทำให้ยากต่อการปฏิบัติตามบทบาทใดบทบาทหนึ่ง เช่น เป็นตำรวจที่
จะต้องจับกุมลูกหลานของตนซึ่งเป็นโจร เป็นต้น
ข้อสังเกตที่เกี่ยวกับบทบาท มีดังนี้
1. หากสมาชิกแสดงบทบาทได้เหมาะสมกับสถานภาพ ก็ย่อมจะเกิดผลดีต่อตัวเอง
2. เมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้นย่อมมีบทบาทมากขึ้นตามสถานภาพ
3. ถ้าสมาชิกทุกคนแสดงบทบาทได้เหมาะสม สังคมโดยส่วนรวมย่อมเกิดความเป็น
ระเบียบเรียบร้อย
4. ในกรณีที่บุคคลมีหลายสถานภาพในเวลาเดียวกัน อาจทำให้เกิดบทบาทขัดแย้ง
(Conflict Role) ขึ้นได้


ประโยชน์ของสถานภาพและบทบาท มีดังนี้คือ
1. ทำให้บุคคลรู้จักฐานะของตนเองในสังคม
2. ทำให้เกิดการแบ่งหน้าที่กันในกลุ่มสมาชิก
3. ทำให้บุคคลมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
4. ช่วยให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย
สถานภาพและบทบาทเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน สถานภาพเป็นตัวกำหนดบุคคลให้รู้จัก
หน้าที่และความรับผิดชอบ บทบาทเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและคาดหมายให้บุคคลกระทำ เช่น
สถานภาพนักเรียนบทบาทในสังคมก็คือ เคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งสอนอบรมของครู
เป็นต้น
4. สิทธิและเสรีภาพ
สิทธิ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง อำนาจอันชอบธรรม
ในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดถึงสิทธิหน้าที่ของบุคคลไว้ ซึ่งสิทธินี้เป็นการควบคุมด้วย
กฎหมายเพื่อให้บุคคลละเมิดสิทธิของผู้อื่น สิทธิยังแยกคนเป็นหน่วย ๆ เช่น ผู้ผลิต ผู้บริโภค แล้ว
สร้างขอบเขตให้ทุกคนอยู่แยกทางกัน เมื่อไม่มาเกี่ยวข้องกันในเรื่องที่กำหนดไว้ก็ไม่มีปัญหาวิวาท
กัน
แนวคิดเรื่องสิทธินี้ต้องพึงระวังเพราะถ้าบุคคลกำหนดความคิดเรื่องสิทธิผิดจะกลายเป็น
การคำนึงถึงตัวเองเป็นที่ตั้งมุ่งเอาประโยชน์ของตนมากกว่าจะคิดให้ประโยชน์ใคร จะเห็นการ
ได้เปรียบเป็นเรื่องดี เป็นการเพาะนิสัยหวาดระแวงว่าผู้อื่นจะมาละเมิดสิทธิของตน
เสรีภาพ ความมีอิสระภายใต้กฎหมายที่กำหนด ความมีเสรีภาพเป็นการกำหนดถึงบทบาท
หน้าที่ของบุคคลเพื่อกระทำตามสิทธิของตน เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น ความมี
เสรีภาพจะต้องไม่ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อน
5. การควบคุมทางสังคม (Social control)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายการควบคุมทางสังคมว่า หมายถึง
กระบวนการต่าง ๆทางสังคมที่มุ่งหมายให้สมาชิกของสังคมยอมรับ และปฏิบัติตามบรรทัดฐาน
ของสังคม ความเป็นระเบียบของสังคมนอกจากเกิดขึ้นจากบรรทัดฐานทางสังคม สถานภาพทาง
สังคมและบทบาททางสังคม ยังเกิดขึ้นโดยการที่สังคมใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ
สมาชิกในสังคมให้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สมาชิกยอมรับร่วมกัน
1. การควบคุมทางสังคมโดยการจูงใจให้สมาชิกปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม ได้แก่
การยกย่องชมเชย ให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมตามสถานภาพและบทบาททาง
สังคมที่ตนดำรงอยู่ เช่น เด็ก ๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบิดามารดา จะได้รับคำชมเชยว่าเป็น
เด็กดี นักเรียนที่ประพฤติตามระเบียบวินัยของโรงเรียน จะได้รับคำชมเชยหรือใบประกาศเกียรติ
คุณทำให้สมาชิกเกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติตนตามบรรทัดฐานทางสังคม
2. การควบคุมทางสังคมโดยการลงโทษสมาชิกที่ละเมิดฝ่าฝืนบรรทัดฐานทางสังคม
ได้แก่
2.1 ผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนวิถีชาวบ้าน จะได้รับปฏิกิริยาต่าง ๆ จากสมาชิกผู้อื่น ได้แก่ การติ
ฉินนินทา การเยาะเย้ย เช่น ผู้ที่แต่งกายผิดบรรทัดฐานทางสังคม จะได้รับการว่ากล่าวจากผู้อื่นว่า
เป็นผู้แต่งกายไม่สุภาพ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมารยาทของสังคมจะได้รับการติฉินนินทาจากผู้อื่นว่า
เป็นผู้ไม่มีมารยาท เป็นต้น
2.2 ผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนจารีต จะได้รับการต่อต้านจากสมาชิกผู้อื่นรุนแรงกว่าผู้ที่ละเมิดวิถี
ชาวบ้าน เช่น โดยการประชาทัณฑ์หรือกำจัดขับไล่ออกไปจากท้องถิ่น บางครั้งอาจถือว่าเป็น
ความรุนแรงมากกว่าการลงโทษด้วยกฎหมาย เนื่องจากจารีตผลต่อจิตใจของสมาชิกเป็นอย่างมาก
เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นเวลาช้านาน
2.3 ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะได้รับการลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด โดยหน่วยงานของรัฐ
และเจ้าหน้าที่เป็นผู้ควบคุมบทลงโทษอย่างชัดแจ้ง
6. กระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) หมายถึง กระบวนการปลูกฝังบรรทัด
ฐานของกลุ่มให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน
สังคมได้ด้วยดี ฉะนั้นการขัดเกลาทางสังคมจึงเป็นวิธีการถ่ายทอดวัฒนธรรม
ขั้นตอนในการขัดเกลาทางสังคมหรือการอบรมสั่งสอน
1. ขั้นปฐมภูมิ เป็นการอบรมขัดเกลาที่ได้รับในวัยเด็กนับตั้งแต่คลอดออกมา โดยได้จาก
ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ทำให้เกิดบุคลิกภาพเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
2. ขั้นทุติยภูมิ เป็นการอบรมขัดเกลาที่ได้รับในช่วงประกอบอาชีพ เพื่อเปลี่ยนแปลง
บุคลิกภาพของตน เช่น เป็นครู เป็นแพทย์ เป็นนักธุรกิจ
รูปแบบการอบรม
1. โดยตรง (Direct Socialization) พบเห็นในหมู่ครอบครัว โรงเรียน และวัด เป็นการ
เรียนรู้อย่างแจ่มแจ้ง
2. โดยอ้อม (Indirect Socialization) เป็นการลอกเลียนแบบมาปฏิบัติ เช่น พ่อแม่ชอบ
ใช้คำหยาบ ลูกก็จะพูดคำหยาบด้วย
พื้นฐานของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม มาจาก
1. มนุษย์ต้องพึ่งพาผู้อื่นในวัยเด็ก ทำให้เกิดความผูกพันรักใคร่พอใจจะขัดเกลาให้
2. มนุษย์มีการติดต่อระหว่างกันทางสังคม จำต้องได้รับการขัดเกลาและอบรมสั่งสอนมา
ก่อน
3. มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้ จึงทำให้การขัดเกลาได้ผลตามที่สังคมคาดหวัง
4. การที่มนุษย์สามารถสร้างภาษาขึ้นใช้ ทำให้มนุษย์สามารถใช้เป็นสื่อในการขัดเกลา
อบรมสั่งสอนเข้าใจตรงกัน
ความมุ่งหมายของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม
1. เป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยแก่สมาชิกในสังคม
2. เป็นการปลูกฝังความมุ่งหวังที่สังคมยกย่อง
3. สอนสมาชิกในสังคมให้รู้จักบทบาทและหน้าที่ของตนตามกาลเทศะและความ
เหมาะสม
4. สอนให้สมาชิกในสังคมเกิดความชำนาญหรือทักษะที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นใน
สังคม
เครื่องมือที่ใช้ในการอบตมสั่งสอนหรือขัดเกลาทางสังคม ได้แก่
1. บรรทัดฐาน (Norms)
2. ค่านิยม (Values)
3. ความเชื่อ (Beliefs)



ที่มา
1. วัชรา คลายนาทรและคณะ,ส401 สังคมศึกษา สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช(2533)
2. วิทย์ วิศทเวทย์และคณะ,หนังสือเรียนสังคมศึกษารายวิชา ส401 สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์
(2533)
3. สุพัตรา สุภาพและคณะ,หนังสือเรียนสังคมศึกษา ส401 สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช(2533)
4. www.google.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น